2551/01/05

ยังไม่สรุปยอดไอซีทีเอ็กซ์โป ปีหน้าจัดร่วมเทเลคอมเอเชีย

นายสือ ล้ออุทัย รองปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือ ไอซีที รักษาราชการแทนปลัดกระทรวงไอซีที กล่าวถึงการจัดงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล ไอซีที เอ็กซ์โป 2007 และงานไทยแลนด์ แอนิเมชัน แอนด์ มัลติมีเดีย หรือ แทม 2007 ในช่วงที่ผ่านมา ว่า ยังไม่ได้รับรายงานว่า ผลเป็นอย่างไร แต่เข้าใจว่า มีคนเข้าชมงานมากพอสมควร อย่างไรก็ตาม ตามที่สื่อมวลชนเคยพูดไว้ว่า ไอซีทีฟอรัมมีคนฟังน้อย และบังเอิญปีนี้ เป็นครั้งแรกที่ให้คนเข้าฟังเสียค่าลงทะเบียน เพราะเชิญวิทยากรที่มีชื่อเสียงมาบรรยาย

รักษาราชการแทนปลัดกระทรวงไอซีที กล่าวต่อว่า จริงๆ แล้ว บริษัท อิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น แมเนจเม้นท์ จำกัด ผู้จัดการสัมมนาแจ้งว่า ขายบัตรได้ แต่คนที่ซื้อไปไม่เข้าร่วมฟังการสัมมนา ตรงนี้ เป็นปัญหาที่จะต้องปรับปรุง ส่วนกรณีที่บริษัทผู้ผลิตรายใหญ่ไม่เข้าร่วมงานก็จะต้องนำไปแก้ไข โดยยอมรับว่า มีปัญหา ที่อาจเป็นเพราะช่วงระยะเวลาการเตรียมงานสั้นเกินไป เพราะอี-อ๊อคชั่น 2 ครั้ง และไม่ได้ผล จึงวางแผนว่า จะไม่จัดงาน แต่เมื่อภาคเอกชนให้ข้อเสนอะแนะว่า จะต้องจัดงานต่อเนื่องเลยตัดสินใจจัดงานด้วยเวลากระชั้นชิด และได้ บริษัท อิมแพ็คเข้ามาจัดงาน

“อิมแพ็คเป็นภาคเอกชน เวลาติดต่อกับบริษัทต่างๆ ความร่วมมือก็อาจจะไม่เต็มที่ ทั้งๆ ที่บางบริษัทตอบรับแล้วว่า จะมา แต่พออาทิตย์สุดท้ายก็ปฏิเสธ ซึ่งเป็นเรื่องที่จะต้องแก้ไข” นายสือ กล่าว และว่า สำหรับปีหน้าลักษณะของงานอาจจะแตกต่างจากงานลักษณะนี้ ไป เพราะในปีหน้าประเทศไทยจะจัดงานไอทียู เทเลคอมเอเชีย 2008 ระหว่างวันที่ 2-5 ก.ย. 2551 และมีบริษัทด้านไอซีทีทั่วโลก ที่ไอทียู หรือ สหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ เป็นผู้ติดต่อเข้ามาร่วมงาน ดังนั้น จึงต้องไปพิจารณาดูว่า งานไอซีที เอ็กซ์โป ที่จะเข้าไปผนวกกับงานไอทียู เทเลคอม เอเชีย จะเป็นไปในลักษณะไหน

รักษาราชการแทนปลัดกระทรวงไอซีที กล่าวอีกว่า คิดว่า การจัดงานไอซีที เอ็กซ์โปครั้งนี้ ประสบความสำเร็จพอควร โดยเชื่อว่า ตามเป้าหมายเดิมที่ได้ตั้งไว้น่าจะถึง เพียงแต่ว่า ในส่วนที่มีข้อผิดพลาด คือ ไอซีทีฟอรัม ที่เสียค่าลงทะเบียนและทำให้คนเข้าฟังน้อยเกินไป แต่คิดว่า ในส่วนฟอรัม ที่ภาคเอกชนต่างๆ จัดขึ้นเองและไม่ต้องเสียค่าลงทะเบียนเข้าฟังมีคนสนใจค่อนข้างมาก เช่น ในเรื่องอี-เลิร์นนิ่ง ที่มีการส่งรายงานมาและมีการนำเสนอได้ผลดีพอสมควร

บอร์ดทีโอทีอนุมัติอัพเกรดโครงข่ายทั่วประเทศเป็นเอ็นจีเอ็น

พ.อ.นที ศุกลรัตน์ กรรมการและโฆษกคณะกรรมการ หรือ บอร์ด บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) หรือ ทีโอที กล่าวถึงผลการประชุมบอร์ดทีโอที ครั้งที่ 39/2550 ที่มี พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร รองปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นประธาน เมื่อเร็วๆ นี้ ว่า ที่ประชุมอนุมัติแผนยุทธศาสตร์พัฒนาทีโอที 4 ปี ระหว่างปี พ.ศ. 2551-2554 หลังจากเมื่อครั้งการประชุมครั้งที่ 37/2550 ได้ให้ฝ่ายบริหารกลับไปพิจารณารายละเอียดก่อนนำกลับมาเสนออีกครั้ง

สำหรับแผนยุทธศาสตร์ดังกล่าว โฆษกบอร์ดทีโอที กล่าวว่า เริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2551 เป็นต้นไป โดยกำหนดเงินลงทุนไว้ปีละ 16,000 ล้านบาท เพื่อปรังปรุงโครงข่ายทั่วประเทศเป็นโครงข่ายเน็กเจเนอเรชั่น เน็ตเวิร์ค หรือ เอ็นจีเอ็น ให้ได้ 80% ของโครงข่ายทั้งหมด รวมทั้งจะขยายการให้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง หรือ บรอดแบนด์ ให้ได้ 3.3 ล้านพอร์ต และขยายบริการโทรศัพท์พื้นฐานให้ได้ 5 ล้านเลขหมายภายใน 4 ปี

พ.อ.นที กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ที่ประชุมยังมีมติอนุมัติให้ บริษัท ฟอร์ท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ผู้เสนอราคาต่ำสุด คือ 861.5 ล้านบาท เป็นดำเนินโครงการจ้างเหมาติดตั้งอุปกรณ์และระบบชุมสายเพื่อรองรับการให้บริการบรอดแบนด์วง เงิน 976 ล้านบาท หลังจาก บริษัท ฟอร์ท คอร์ปอเรชั่น ยอมลดราคาลงเหลือ 850 ล้านบาท ตามที่คณะกรรมการจัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธีพิเศษเจรจาต่อรอง โดยหลังจากนี้ จะเป็นขั้นตอนการเซ็นสัญญา

ฟูจิตสึ ส่งมอบระบบไอทีให้กับ ป.ป.ส.


บริษัท ฟูจิตสึ ซีสเต็ม บีสซีเนส (ประเทศไทย) จำกัด เป็นผู้นำโซลูชันด้านไอที ได้ทำการส่งมอบระบบสารสนเทศยาเสพติด (Narcotics Information System: NIS) ให้กับสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.)โดยมี นายโชอิชิโร โยชิโอกะ ประธานบริษัท ฟูจิตสึ ซิสเต็มส์ บีสซิเนส ประเทศไทย จำกัด เป็นผู้ส่งมอบและ นายกิตติ ลิ้มชัยกิจ เลขาธิการ ป.ป.ส. เป็นผู้รับมอบ โดยระบบสารสนเทศยาเสพติด นี้เป็นการปรับเปลี่ยนระบบสารสนเทศ จากระบบคอมพิวเตอร์เมนเฟรมเป็นระบบคอมพิวเตอร์แม่ข่าย และถ่ายโอนข้อมูลจากฐานข้อมูลระบบเมนเฟรม มาเป็นฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ (RDBMS) โดยติดตั้งระบบฯ บนเครื่องแม่ข่าย Primepower และอุปกรณ์บันทึกข้อมูล Eternus ที่เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูงของฟูจิตสึ จึงทำให้สามารถตอบสนองการปฏิบัติงานในขณะนี้ และรองรับความต้องการในการใช้งานในอนาคตของสำนักงาน ป.ป.ส. ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เลอโนโวเร่งขยายสาขาแบรนด์ชอป


เลอโนโวเปิดแบรนด์ชอปแห่งที่ 3 บนเซ็นทรัลเวิลด์ ก่อนขยายอีก 3 สาขา ซึ่งเป็นการปูพื้นฐานการทำตลาด ในรูปแบบเอ็กซ์พรีเรียน มาร์เก็ตติ้ง เชื่อเป็นการทำประชาสัมพันธ์อีกแบบหนึ่ง ตั้งเป้ายอดขายปีหน้าโต 2 เท่า ล่าสุดเปิดตัวโน้ตบุ๊กใหม่รองรับการใช้งานแบบโมบิลิตี้

นายภิญโญ สงวนเศรษฐกุล ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท เลอโนโว (ประเทศไทย) กล่าวว่าเลอโนโวเพิ่งทำตลาดอย่างเป็นทางการในไทยได้ประมาณ 1 ปี การทำตลาดยังทำไม่ได้เต็มที่ ดังนั้น จึงต้องเร่งสร้างทีมงาน เรื่องของการปูพื้นฐานให้ดี ซึ่งเป็นกลยุทธ์หลักของเลอโนโว เช่น การทำแบรนด์ ชอปซึ่งเป็นชอปที่มีเฉพาะสินค้าของเลอโนโวก็เป็นอีกหนึ่งพื้นฐาน เพราะการขายผ่านช่องทางการตลาดต่างๆต้องควบคู่ไปกับโปรดักส์

ที่ผ่านมาเลอโนโวเปิดแบรนด์ ชอปไปแล้ว 2 แห่งคือที่ไอที มอลล์ ไอที เซียร์ รังสิต ล่าสุดคือที่เซ็นทรัลเวิลด์ และมีแผนจะเปิดอีก 2 แห่งคือที่พันธุ์ทิพย์ พลาซ่า และห้างที่เป็นไอที มอลล์ และจะมีการขยายอย่างต่อเนื่อง ส่วนที่เป็นคอนเนอร์มีประมาณ 20 แห่ง และมีการขยายทุกๆ ไตรมาส

"เมื่อการทำตลาดจะขายผ่านคู่ค้า แต่ธุรกิจไอทีขณะนี้จะเป็นการขายผ่านแบรนด์ ชอปมากขึ้น เพราะมิกซ์หลายๆ แบรนด์ไปด้วยกัน การส่งแมสเซสถึงลูกค้าจะไม่ค่อยชัดเจน"

ผู้บริหารเลอโนโวกล่าวว่าการขยายการทำตลาดในลักษณะของแบรนด์ ชอปจะเริ่มเห็นมากขึ้น อยู่ที่ว่าใครจะยึดพื้นที่สำคัญๆได้ก่อน เพราะการทำตลาดลักษณะนี้จะคุ้มกว่าการไปลงทุนทำโฆษณา เนื่องจากลูกค้าได้รับรู้ได้สัมผัสทุกวัน ซึ่งเป็นทำตลาดแบบที่เรียกว่าเอ็กซ์พรีเรียน มาร์เก็ตติ้ง (Experience Marketing) โดยปีนี้และปีหน้าต้องเร่งขยายในจุดสำคัญๆ ของกรุงเทพฯ ส่วนต่างจังหวัดคงเป็นเฟสต่อไป โดยจะเน้นหัวเมืองใหญ่เป็นหลัก

ในปีหน้าเลอโนโวมีแผนจะทำตลาดในลักษณะของสปอร์ต มาร์เก็ตติ้ง ซึ่งได้สิทธิ์ในการเป็นผู้สนับสนุนกีฬาโอลิมปิกและจะทำอย่างต่อเนื่องโดยเลือกเป็นกิจกรรมๆ ไป

ด้านยอดขายปีหน้าเลอโนโวตั้งเป้าไว้ว่าจะต้องโตเป็น 2 เท่า จากปัจจุบันที่มีส่วนแบ่งในไทยเป็นอันดับ 6 โดยมีส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ 5% ซึ่งยอดขายส่วนใหญ่จะเป็นเครื่องระดับกลางถึงล่าง 70% ที่เหลือเป็นระดับกลางถึงบนพร้อมกันนี้ เลอโนโวได้เปิดตัวโน้ตบุ๊กใหม่รุ่น จี-400 ที่มาพร้อมอินเทล เพนเทียม ดูโอ-คอร์ออกสู่ตลาด ในราคา 19,900 บาทเพื่อรองรับการใช้งานแบบเคลื่อนที่ หรือโมบิลิตี้

กทช. เผยปีหน้าหั่นค่าธรรมเนียมใบ อนุญาตฯ ประเภท 3

นายสุรนันท์ วงศ์วิทยกำจร เลขาธิการคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กทช. กล่าวถึงผลการประชุมคณะ กรรมการ หรือ บอร์ด กทช. ครั้งที่ 44/2550 วานนี้ (22 พ.ย.) ว่า ที่ประชุมมีมติปรับลดอัตราค่าธรรมเนียมใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคมประเภทที่ 3 แบบมีโครงข่ายเป็นของตนเอง จาก 3% ของรายได้ เป็น 2.5% ของรายได้ ที่แม้จะทำให้รายได้ของ กทช. ลดลง แต่เพื่อให้เป็นประโยชน์กับประชาชนและสอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจ

เลขาธิการ กทช. กล่าวต่อว่า ปกติ กทช. จะทบทวนอัตราการจัดเก็บค่าธรรมเนียมทุกปี และในกฏหมายให้อำนาจ กทช. สามารถดำเนินการได้อยู่แล้ว โดยอัตราค่าธรรมเนียมใหม่ดังกล่าว จะเริ่มใช้ในปีหน้า คือ ปีงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2551 กับผู้ได้รับใบอนุญาตที่มีอยู่ประมาณ 5 ราย ส่วนการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2551 นั้น ขณะนี้ อยู่ระหว่างการพิจารณาและยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดต่างๆ

สำหรับกรณีที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน หรือ สตง. ขอตรวจสอบการใช้งบประมาณของสำนักงาน กทช. ในช่วงปี 2548-2549 ใหม่ นายสุรนันท์ กล่าวว่า ที่ประชุมไม่มีการหารือเรื่องดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ถือเป็นกรณีปกติ ที่เมื่อ สตง. ขอเอกสาร หรือ ต้องการข้อมูลเรื่องใดเพิ่มเติมก็ดำเนินการจัดการให้ ส่วนกรณีที่มีการร้องเรียนเกี่ยวกับความไม่โปร่งใสในการใช้จ่ายงบประมาณเดินทางไปต่างประเทศนั้น เรื่องนี้ มีระเบียบและแนวทางการปฏิบัติกำหนดไว้ชัดเจนอยู่แล้ว

เลขาธิการ กทช. กล่าวต่อว่า สตง. มีหน้าที่ตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณของสำนักงาน กทช. และต้องรับรองงบดุลก่อนที่จะสามารถเปิดเผยต่อสาธารณะได้ แต่จนถึงขณะนี้ สตง. ยังตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณในช่วงปี 2548-2549 และช่วงการปรับเปลี่ยนองค์กรจากกรมไปรษณีย์โทรเลขเดิมมาเป็นสำนักงาน กทช. ไม่เสร็จ ขณะเดียวกันสำนักงาน กทช. ยังต้องรายงานการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีต่อวุฒิสภาด้วย ดังนั้น จึงถือเป็นเรื่องปกติ

ไอซีที ใส่เกียร์เดินหน้าพัฒนาเครือ ข่ายอี-กอฟเวิร์นเม้นท์

นายสือ ล้ออุทัย รองปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือ ไอซีที รักษาราชการแทนปลัดกระทรวงไอซีที กล่าวว่า เมื่อเร็วๆ นี้ กระทรวงไอซีทีได้จัดประชุมเชิงปฏิบัติการครั้งที่ 1 เรื่อง การพัฒนาเครือข่ายสื่อสารข้อมูลเชื่อมโยงหน่วยงานภาครัฐ หรือ Government Information Network: GIN ขึ้น อย่างไรก็ตาม การประชุมเชิงปฏิบัติการครั้งนี้ เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนารัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ หรือ อีกอฟเวิร์นเม้นท์

รักษาราชการแทนปลัดกระทรวงไอซีที กล่าวต่อว่า กระทรวงไอซีทีถือเป็นหน่วยงานหลักที่ได้รับมอบหมายให้ดำเนินการจัดทำแผนทิศทางการพัฒนารัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ โดยมีการพัฒนาเครือข่ายสื่อสารข้อมูลเชื่อมโยงหน่วยงานภาครัฐ ที่เป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์หลักสำคัญที่จะพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานสำหรับภาครัฐให้มีความปลอดภัย รวดเร็วและเชื่อถือได้ โดยจะเอื้อประโยชน์ทั้งในด้านการแลกเปลี่ยนข้อมูลและการให้บริการประชาชน

สำหรับความร่วมมือจากหน่วยต่างๆ ในการพัฒนารัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ นายสือ กล่าวว่า กระทรวงไอซีทีได้รับความร่วม มือเป็นอย่างดีจากทุกภาคส่วนราชการในการวางระบบเครือข่ายสื่อสารข้อมูลภาครัฐในระยะแรกระดับกระทรวง กรมและหน่วยงานราชการอิสระ จำนวน 274 หน่วยงาน อย่างไรก็ตาม กระทรวงไอซีทีมีโครงการจะขยายระบบเครือข่ายสื่อสารข้อมูลภาครัฐไปในส่วนภูมิภาคให้ทั่วถึงทั้งประเทศต่อไป

รักษาราชการแทนปลัดกระทรวงไอซีที กล่าวต่อว่า การประชุมเชิงปฏิบัติการครั้งนี้ จัดขึ้นเพื่อสร้างความเข้าใจในแนวทาง การพัฒนาและประสานความคิดร่วมกัน เพื่อนำไปสู่ความร่วมมือในการพัฒนาเครือข่ายสื่อสารข้อมูลเชื่อมโยงหน่วยงานภาครัฐในระยะต่อไป โดยความสำเร็จจะเป็นกลไกสำคัญต่อการบูรณาการเครือข่ายสื่อสารข้อมูลเชื่อมโยงหน่วยงานภาครัฐและการขับเคลื่อนให้การพัฒนารัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์เกิดขึ้นอย่างแท้จริงตามที่รัฐบาลมุ่งหวัง

2550/11/05

ฮาร์ดไดรฟ์ประหยัดพลังงาน


ฮิตาชิ โกลบอล สตอเรจ เทคโนโลยีส์ (ฮิตาชิ จีเอสที) เปิดตัวฮาร์ดไดรฟ์เดสก์ท็อปรุ่น Deskstar P7K500 มีประสิทธิภาพประหยัดพลังงานสูงที่สุดในโลก โดยใช้เทคโนโลยีประหยัดพลังงานทั้งในขณะปฏิบัติงานและไม่ปฏิบัติงานซึ่งประหยัดพลังงานได้มากกว่าร้อยละ 40 เมื่อเทียบกับรุ่นก่อน โดยมีประสิทธิภาพในการประหยัดพลังงานที่ดีที่สุดสำหรับรุ่นดิสก์หนึ่งแผ่น และประหยัดพลังงานอย่างมากสำหรับรุ่นดิสก์สองแผ่น โดยทั้งสองรุ่นมีความเร็วที่ 7200 รอบต่อนาที ความจุที่ 250-500 กิกะไบต์ สามารถประหยัดพลังงานได้มากถึงร้อยละ 59 เมื่อเปรียบเทียบกับฮาร์ดไดรฟ์ความจุ 250 กิกะไบตในกลุ่มเดียวกัน